Doctor At Home: ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) ช่องคลอดอักเสบ (Vaginitis) เป็นภาวะที่พบบ่อยในผู้หญิง โดยเป็นการอักเสบหรือการติดเชื้อบริเวณช่องคลอด ซึ่งอาจรวมถึงบริเวณอวัยวะเพศภายนอก (Vulvovaginitis) อาการมักแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับสาเหตุ
อาการหลักของช่องคลอดอักเสบ
อาการที่พบบ่อยที่สุด ได้แก่:
1.   ตกขาวผิดปกติ (Abnormal Discharge):
o   ปริมาณ มากขึ้นผิดปกติ
o   สี เปลี่ยนไป เช่น สีเทา, สีเหลือง, สีเขียว หรือเป็นสีขาวข้น
o   ลักษณะ เปลี่ยนไป เช่น เป็นน้ำมาก, เป็นฟอง, หรือจับตัวเป็นก้อนคล้ายแป้ง/คอทเทจชีส
o   กลิ่น ผิดปกติ โดยเฉพาะกลิ่นคาวคล้ายปลา (มักจะชัดเจนขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์)
2.   อาการคัน/ระคายเคือง: มีอาการคันหรือแสบร้อนบริเวณช่องคลอดและอวัยวะเพศภายนอก
3.   ปวด/แสบ: รู้สึกแสบเมื่อปัสสาวะ หรือรู้สึกเจ็บ/ไม่สบายขณะมีเพศสัมพันธ์
4.   บวมแดง: ผิวหนังบริเวณอวัยวะเพศภายนอกมีอาการบวมแดงหรืออักเสบ
สาเหตุหลักของช่องคลอดอักเสบ
ช่องคลอดอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงสมดุลของแบคทีเรียหรือเชื้อโรคในช่องคลอด โดยมีสาเหตุหลัก 3 ประเภท:
ประเภทการอักเสบ                                                                    สาเหตุ                                                         ลักษณะตกขาวที่เด่นชัด
1. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อแบคทีเรีย (Bacterial Vaginosis: BV) เกิดจากความไม่สมดุลของแบคทีเรียในช่องคลอด (Lactobacilli ลดลง และแบคทีเรียก่อโรคเพิ่มขึ้น)   สีเทาหรือขาวขุ่น, มีกลิ่นเหม็นคาวคล้ายปลา (ชัดเจนขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์)
2. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อรา (Yeast Infection / Candidiasis) เกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินไปของเชื้อรา (ส่วนใหญ่คือ Candida albicans)   สีขาวข้น, จับตัวเป็นก้อนคล้ายแป้งเปียกหรือคอทเทจชีส, มัก ไม่มีกลิ่น แต่มีอาการคันและแสบร้อนมาก
3. ช่องคลอดอักเสบจากเชื้อพยาธิ (Trichomoniasis) เกิดจากเชื้อโปรโตซัว (Trichomonas vaginalis) ซึ่งเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STI)   สีเหลืองหรือเขียว, มีฟอง, มีกลิ่นเหม็นรุนแรง อาจมีอาการแสบขณะปัสสาวะและเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์
นอกจากนี้ ยังมี ช่องคลอดอักเสบที่ไม่ติดเชื้อ (Non-infectious Vaginitis) เช่น:
•   Atrophic Vaginitis: เกิดจากระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนลดลง (มักเกิดในวัยหมดประจำเดือน) ทำให้ผนังช่องคลอดบางและแห้ง
•   การแพ้/ระคายเคือง: เกิดจากการแพ้สารเคมี เช่น สบู่, น้ำหอม, ผ้าอนามัยที่มีกลิ่น, หรือน้ำยาซักผ้า
ปัจจัยเสี่ยง
•   การสวนล้างช่องคลอด (Douching)
•   การใช้ยาปฏิชีวนะ (ทำให้แบคทีเรียชนิดดีลดลง)
•   การเปลี่ยนคู่นอนใหม่ หรือมีคู่นอนหลายคน
•   การใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่นหรือไม่ระบายอากาศ
•   การตั้งครรภ์ หรือการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน
การรักษา
การรักษาช่องคลอดอักเสบขึ้นอยู่กับสาเหตุที่แพทย์วินิจฉัย:
•   BV: รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาเม็ดรับประทาน หรือยาชนิดครีม/เจลสอดช่องคลอด) เช่น Metronidazole หรือ Clindamycin
•   เชื้อรา: รักษาด้วยยาต้านเชื้อรา (ยาเหน็บ/ครีมสอดช่องคลอด หรือยาเม็ดรับประทาน)
•   Trichomoniasis: รักษาด้วยยาปฏิชีวนะ (ยาเม็ดรับประทาน) และต้องรักษาคู่นอนด้วย
คำแนะนำ: หากมีอาการผิดปกติของช่องคลอด ควรไปพบแพทย์หรือสูตินรีแพทย์ เพื่อให้ได้รับการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรับยาที่เหมาะสม ไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง เพราะหากวินิจฉัยผิดประเภท (เช่น คิดว่าเป็นเชื้อรา แต่เป็นเชื้อแบคทีเรีย) อาการอาจแย่ลงได้